
คืนวันหนึ่ง สองพี่น้องอ่านหนังสือแล้วคุยกันประหนึ่งจะปรับทุกข์และปลอบใจซึ่งกันและกัน
คนพี่เอ่ยก่อนว่า
“อีกหน่อยเราก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว”
คนน้องนิ่งฟังพยักหน้าเห็นด้วย คนพี่พูดต่อว่า
“ก็เขาว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพในอีก 10 ปี”
คนน้องเออออ ส่วนคนเป็นแม่แอบฟังด้วยความอยากรู้ว่าลูกคุยอะไรกัน
ได้ยินคนพี่พูดต่ออีกว่า
“เราเกิดมาช้าไป อีกหน่อยน้ำจะท่วมโลก เราก็ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว”
ตอนนี้คนเป็นแม่อดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ว่า
“ใครจะปล่อยให้น้ำท่วมขนาดนั้นได้ล่ะ ต้องมีทางป้องกันสิ อย่าคิดมากลูก”
แล้วลูกก็อ่านหนังสือกันต่อ
..........
แต่แม่กลับนั่งคิด เออหนอ...ตัวแค่นี้ยังตระหนักถึงภาวะน้ำท่วมโลก และดูเหมือนจะวิตกไปไกลเลยด้วย แม่ได้แต่นั่งมองลูกที่กังวลว่าตัวเองเกิดมาช้าไป เกิดมาตอนน้ำจะท่วมกรุงเทพพอดี ไม่รู้ลูกพูดเพราะอ่านหนังสือ เสพข่าวสารมากไปหรือเปล่า หลังจากบทสนทนาวันนั้นก็ลืมๆ ไปแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ๆ เจ้าพี่คนโตพูดขึ้นว่าเราต้องย้ายไปอยู่ที่สูงกว่านี้ เช่น นครราชสีมา น้ำจะได้ไม่ท่วมบ้าน
เอาไงดี...ลูกจริงจังมากเลยนะนี่

แอบอมยิ้มกับความจริงจังของเด็กๆ
ตอบลบถ้าเด็กๆ รู้ว่า ผู้ใหญ่แอบอมยิ้ม ต้องขมวดคิ้วหน้าหงิกกับการที่ผู้ใหญ่เห็นความจริงจังของเค้าเป็นเรื่องเล็กๆ แน่เลย ...
เขียนประโยคนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองในวัย ราว ป.4
ตอนนั้น โกรธแม่กับน้องๆ แล้วเก็บของจะหนีออกจากบ้าน เขียนพินัยกรรมสั่งเสียเรียบร้อย
แล้วไม่รู้จะไปยังไง
กำลังหาทางไป ... แม่ก็มาเจอจดหมายซะก่อน
แม่เรียกไปซักถาม เราเห็นแม่แอบหันไปอมยิ้มทางอื่นเมื่ออ่านจดหมายสั่งเสีย ก็รู้สึกฉุนๆ ฮึ่มๆ
(จดหมายสั่งเสียก็ประมาณว่า สมุดสะสมแสตมป์ มอบให้น้องเล็ก , ของชิ้นนี้มอบให้น้องชาย)
อิอิ
โดนคุณแม่จับได้ เรียกไปซักถาม
ตัวเองในวัยนั้น ก็หน้าแหกเล็กน้อย
แต่จริงๆ แล้วแอบโล่งใจหละ
.
.
คุณยายเรียกไปซักถามสาเหตุ
ปลอบโยน
แล้วก็ทำเฉยเสีย
คงกลัวลูกสาวหน้าแตกกว่านี้
กรั่กๆ
ขืนหนีออกจากบ้านสำเร็จ
ไม่ได้มีวันนี้แหงๆ